การขึ้นทะเบียนนายจ้างกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน
การขึ้นทะเบียนนายจ้างกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน
ประกันสังคม คือ การสร้างหลักประกันในการดำรงชีวิตในกลุ่มของสมาชิกที่มีรายได้ และจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเพื่อรับผิดชอบเฉลี่ยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเจ็บป่วย คลอดบุตรทุพพลภาพ ตาย สงเคราะห์ ชราภาพ และการว่างงาน เพื่อให้ได้รับการรักษาพยาบาล และมีการทดแทนรายได้อย่างต่อเนื่อง กฎหมายกำหนดให้นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป จะต้องขึ้นทะเบียนนายจ้างพร้อมกับขึ้นทะเบียนลูกจ้างเป็นผู้ประกันตนภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีลูกจ้าง
กองทุนเงินทดแทน (เนื่องจากการทำงาน) คือ กองทุนที่จ่ายเงินทดแทนให้แก่ลูกจ้างแทนนายจ้าง เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตายหรือสูญหาย สูญเสียอวัยวะหรือสูญเสียสมรรถภาพในการทำงานของร่างกายอันเนื่องมาจากการทำงานให้แก่นายจ้าง โดยไม่คำนึงถึงวันเวลาและสถานที่ แต่จะดูสาเหตุที่ทำให้ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย และนายจ้างมีหน้าที่ยื่นแบบรายการขึ้นทะเบียนนายจ้างวิธียื่นแบบรายการ การจ่ายเงินสบทบ ณ สำนักงานแห่งท้องที่ที่นายจ้างยื่นแบบขึ้นทะเบียนภายใน 30 วัน นับแต่วันที่นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบ
สิทธิประกันสังคม ที่ผู้ประกันตนจะได้รับ
1.สิทธิประโยชน์กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย อันไม่ใช่เนื่องจากการทำงาน
เงื่อนไขการเกิดสิทธิ
-จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนเดือนที่รับบริการทางการแพทย์
สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ
-การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เข้ารับบริการในสถานพยาบาลที่สำนักงานกำหนดสิทธิ ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่คณะกรรมการการแพทย์กำหนด
-กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยที่เข้ารักษาในสถานพยาบาลที่สำนักงานกำหนดสิทธิ
- ผู้ประกันตนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
- กรณีต้องหยุดงานพักรักษาตัวตามคำสั่งแพทย์ ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ ร้อยละ 50 ของ*ค่าจ้าง ไม่เกิน 90 วันต่อครั้ง และไม่เกิน 180 วันต่อปี เว้นแต่ป่วยด้วยโรคเรื้อรังไม่เกิน 365 วันต่อปี
-กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน เข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของรัฐ ผู้ป่วยนอก เบิกค่ารักษาพยาบาลได้เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น
ผู้ป่วยใน เบิกค่ารักษาพยาบาลได้เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น ภายในระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมง (ไม่รวมวันหยุดราชการ) ค่าห้องและค่าอาหารเบิกได้ไม่เกิน 700 บาท/วัน
- เข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของเอกชน ผู้ป่วยนอก เบิกเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 1,000 บาท
ผู้ป่วยใน เบิกตามหลักเกณฑ์และอัตราที่คณะกรรมการการแพทย์กำหนด แต่ไม่เกิน 72 ชั่วโมง (ไม่รวมวันหยุดราชการ) ค่าห้องและค่าอาหารเบิกได้ไม่เกิน 700 บาท/วัน
-กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต ผู้ประกันตนไม่ต้องสำรองจ่าย โดยสำนักงานจะรับผิดชอบค่าบริการทางการแพทย์จนพ้นภาวะวิกฤตภายใน 72 ชั่วโมง (นับรวมวันหยุดราชการ) ให้แก่สถานพยาบาลเอกชนที่รักษา
-ค่าอวัยวะเทียมและอุปกรณ์การบำบัดโรค ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่คณะกรรมการการแพทย์กำหนด
การปลูกถ่ายไขกระดูก การเปลี่ยนอวัยวะกระจกตา การบำบัดทดแทนไต การผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจ ปอด ตับ ตับอ่อน และกรณีปลูกถ่ายอวัยวะมากกว่าหนึ่งอวัยวะพร้อมกัน ตามหลักเกณฑ์และอัตราที่คณะกรรมการการแพทย์กำหนด
-กรณีทันตกรรม ถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน และผ่าตัดฟันคุด เท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 900 บาทต่อปีปฏิทิน
กรณีเข้ารับบริการทางการแพทย์ในสถานพยาบาล ที่ทำความตกลงกับสำนักงาน ไม่ต้องสำรองจ่าย ผู้ประกันตนจ่ายค่าบริการทางการแพทย์เฉพาะส่วนเกินจากสิทธิที่ได้รับ
2. กรณีคลอดบุตร
-หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเกิดสิทธิ
จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายใน 15 เดือนก่อนเดือนคลอดบุตร
จ่ายค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายกรณีคลอดบุตรให้แก่ผู้ประกันตนในอัตรา 15,000 บาทต่อการคลอดบุตรหนึ่งครั้ง สำหรับผู้ประกันตนหญิงมีสิทธิรับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรเหมาจ่ายในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 90 วันสำหรับการใช้สิทธิบุตรคนที่ 3 จะไม่ได้รับสิทธิเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรเหมาจ่ายในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 90 วัน
กรณีสามีและภรรยาเป็นผู้ประกันตนทั้งคู่ให้ใช้สิทธิในการเบิกค่าคลอดบุตรฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่จำกัดจำนวนบุตร/ครั้ง ค่าตรวจและรับฝากครรภ์
หมายเหตุ*ค่าจ้าง หมายถึง ค่าจ้างที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบที่นำส่งสำนักงาน ขั้นต่ำ 1,650 บาท และไม่เกิน 15,000 บาท
สิทธิประโยชน์ด้านอื่นๆ ผู้อ่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของประกันสังคม
การจ่ายประกันสังคม
ลูกจ้างและนายจ้าง จ่ายฝ่ายละ 5% ปัจจุบันผู้ประกันตนประกันสังคมมาตรา 33 จะต้องจ่ายเงินสมทบ 5% ของรายได้ต่อเดือน โดยคิดจากฐานค่าจ้างขั้นต่ำสุดที่ 1,650 บาท/เดือน และสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท/เดือน ดังนั้นผู้ประกันตนที่ได้รับเงินค่าจ้างต่ำสุด จะต้องจ่ายเงินสมทบอยู่ที่ 83 บาท/เดือน ส่วนผู้ที่มีรายได้ตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไป จะต้องจ่ายเงินสมทบจำนวน 750 บาท/เดือน
บทกำหนดโทษ
หากนายจ้างไม่จ่ายเงินสมทบประกันสังคมให้ลูกจ้าง นายจ้างถือว่ามีความผิด ระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ร้องไห้
0คน
ไม่สำคัญ
0คน
ดีใจ
0คน
ปรบมือ
0คน
น่ากลัว
0คน
1. สถานีนี้ปฏิบัติตามมาตรฐานในวงการ และทุกบทความที่ถูกคัดลอกจะถูกทำเครื่องหมายชัดเจนว่าเป็นของผู้เขียนและแหล่งที่มา; 2. บทความต้นฉบับของสถานีนี้ โปรดระบุผู้เขียนและแหล่งที่มาเมื่อมีการคัดลอก เราจะดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้ที่ไม่เคารพสิทธิของผู้เขียน; 3. การส่งบทความของผู้เขียนอาจถูกดำเนินการแก้ไขหรือเพิ่มเติมโดยบรรณาธิการของเราในบางกรณีที่เหมาะสม